เมนู

อุปาลิวรรคที่ 4


อรรถกถาปฐมอุปาลิสูตรที่ 1


วรรคที่ 4

อุปาลิสูตรที่ 1 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ชื่อว่า สงฺฆสุฏฺฐุตาย ได้แก่ ความที่สงฆ์รับว่าดี คือความที่สงฆ์
รับรองด้วยคำที่น่ารักว่า สุฏฺฐุ ภนฺเต ดีละ ข้าพเจ้าข้า เหมือนในอนาคต
สถานว่า สุฏฺฐุ เทว ดีละเทวะ. ก็สงฆ์ใดรับรองพระดำรัสของพระตถาคต
อันนั้นย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่สงฆ์นั้นตลอดกาล
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบท ก็เพื่อสงฆ์รับรอง
ด้วยคำที่น่ารักว่า สุฏฺฐุ ภนฺเต ดีละพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นทรงแสดงโทษในการไม่รับรอง และอานิสงส์ในการรับรองแล้ว
เมื่อทรงกระทำให้แจ่มแจ้งข้อความนี้ว่า มิได้ทรงถืออำนาจโดยพลการ
จึงตรัสว่า สงฺฆสุฏฺฐุตาย. บทว่า สงฺฆผาสุตาย ได้แก่ เพื่อความผาสุก
เพื่อความมีชีวิตร่วมกันแห่งสงฆ์ อธิบายว่า เพื่อประโยชน์แก่การอยู่
เป็นสุข.
บทว่า ทุมฺมงฺกูนํ นิคฺคหาย ความว่า บุคคลผู้ทุศีล ชื่อว่าผู้เก้อ
ยาก. คนเหล่าใด แม้ถูกเขาทำให้ถึงความเก้อเขิน ก็ไม่ทุกข์ร้อน หรือ
กระทำการล่วงละเมิดสิกขาบท หรือทำแล้วก็ไม่ละอาย เพื่อประโยชน์แก่
การข่มบุคคลเหล่านั้น. จริงอยู่ ภิกษุเหล่านั้น เมื่อสิกขาบทมีอยู่ ก็จัก
เบียดเบียนสงฆ์ว่า พวกท่านเห็นอะไร ได้ยินอะไร พวกผมทำอะไร
พวกท่านจึงยกอาบัติอันไหน ในวัตถุอันไหนขึ้นมาข่มพวกผม ก็เมื่อ
สิกขาบทมีอยู่ สงฆ์จักแสดงสิกขาบทแก่ภิกษุเหล่านั้นข่มโดยสหธรรม
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหาย เพื่อข่มบุคคล

ผู้เก้อยาก. บทว่า เปสลานํ ได้แก่ เพื่อประโยชน์แก่การอยู่ผาสุกของ
เหล่าภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก. จริงอยู่ ภิกษุผู้ศีลเป็นที่รัก ไม่รู้ข้อที่ควรทำ
และไม่ควรทำ ข้อที่มีโทษและไม่มีโทษและขอบเขต พยายามทำไตรสิกขา
ให้บริบูรณ์ย่อมลำบาก แก่ภิกษุเหล่านั้นรู้ข้อที่มีโทษและไม่มีโทษและ
ขอบเขต พยายามทำไตรสิกขาให้บริบูรณ์ย่อมไม่ลำบาก ด้วยเหตุนั้น
การบัญญัติสิกขาบทจึงเป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขแห่งภิกษุเหล่านั้น หรือการ
ข่มบุคคลผู้เก้อยากนั่นแหละเป็นการอยู่เป็นสุขแห่งภิกษุเหล่านั้น อาศัย
บุคคลผู้เก้อยาก อุโบสถและปวารณาก็ตั้งอยู่ไม่ได้ สังฆกรรมก็เป็นไป
ไม่ได้ ไม่มีความสามัคคีกัน ภิกษุทั้งหลายที่มีอารมณ์มาก ก็ประกอบ
อุเทศเป็นต้นไม่ได้ ต่อเมื่อบุคคลผู้ทุศีลถูกข่มเสียแล้ว อุปัทวะนี้แม้ทั้งหมด
ก็ไม่มี แต่นั้นภิกษุผู้น่ารักย่อมละผาสุก. ในคำว่า เปสลานํ ภิกฺขูนํ
ผาสุวิหาราย
นี้ พึงทรามความสองส่วน ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า ทิฏฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย ความว่า ทุกข์พิเศษ
มีการประหารด้วยฝ่ามือ ประหารด้วยท่อนไม้ ประหารด้วยศัสตรา ตัดมือ
ตัดเท้า เสื่อมเกียรติ เสื่อมยศ และความร้อนใจ เป็นผู้ตั้งอยู่ในความ
ไม่สังวร พึงถึงในอัตภาพนั้นเท่านั้น ชื่อว่าอาสวะที่เป็นในปัจจุบัน
เพื่อป้องกันปิดกั้น คือสกัดทางมาแห่งอาสวะที่เป็นไปในปัจจุบันนั้น.
บทว่า สมฺปรายิกานํ ความว่า ทุกข์พิเศษอันมีบาปกรรมที่ทำแล้วเป็น
มูล อันผู้ตั้งอยู่ในความไม่สังวร พึงถึงในอบาย มีนรกเป็นต้น ในภพ
ภายหน้า ชื่อว่าอาสวะที่เป็นในภายหน้า เพื่อประโยชน์แก่การระงับ
อาสวะที่เป็นไปในภายภาคหน้าเหล่านั้น.

บทว่า อปฺปสนฺนานํ ความว่า เมื่อมีการบัญญัติสิกขาบท มนุษย์
แม้เหล่าใดที่เป็นบัณฑิตที่ยังไม่เลื่อมใส รู้การบัญญัติสิกขาบท หรือเห็น
ภิกษุปฏิบัติสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติ มนุษย์เหล่านี้ย่อมถึงความเลื่อมใส
ว่า สมณะเหล่านี้งดเว้นจากฐานที่ตั้งแห่งความรักความโกรธความหลง
แห่งมหาชนในโลกอยู่ ชื่อว่ากระทำกิจที่ทำได้ยากหนอ เห็นคัมภีร์ใน
พระวินัยปิฎกก็เลื่อมใส เหมือนกตเวทิพราหมณ์ผู้มิจฉาทิฏฐิ ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อปฺปสนฺนานํ ปสาทาย เพื่อความเลื่อมใส
แห่งบุคคลผู้ยังไม่เลื่อมใส.
บทว่า ปสนฺนานํ ความว่า กุลบุตรแม้เหล่าใดเลื่อมใสในพระ-
ศาสนาแล้ว กุลบุตรแม้เหล่านั้นรู้การบัญญัติสิกขาบท หรือเห็นภิกษุ
ปฏิบัติตามสิกขาบทที่ทรงบัญญัติ ย่อมเลื่อมใสยิ่ง ๆ ขึ้นไปว่า โด พระผู้
เป็นเจ้าที่ฉันหนเดียว รักษาพรหมจริยสังวรจนตลอดชีวิต ชื่อว่ากระทำ
กิจที่ทำได้ยากหนอ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ปสนฺนานํ
ภิยฺโยภาวาย
เพื่อความเลื่อมใสยิ่ง ๆ ขึ้นไปของคนที่เลื่อมใสแล้ว.
บทว่า สทฺธมฺมฏฺฐิติยา ความว่า สัทธรรมมี 3 อย่าง คือ ปริ-
ยัตติสัทธรรม ปฏิปัตติสัทธรรม อธิคมสัทธรรม. บรรดาสัทธรรม 3
อย่างนั้น พุทธวจนะแม้ทั้งสิ้น ชื่อว่า ปริยัตติสัทธรรม สัทธรรมนี้คือ
ธุองค์คุณ 13 จาริตศีล วาริตศีล สมาธิ วิปัสสนา ชื่อว่า ปฏิปัตติ-
สัทธรรม
. โลกุตรธรรม 9 ชื่อว่า อธิคมสัทธรรม. สัทธรรมนั้นแม้
ทั้งหมด เพราะเหตุที่เมื่อมีบัญญัติสิกขาบท ภิกษุทั้งหลายย่อมเรียนสิกขาบท
วิภังค์แห่งสิกบทนั้น และพระพุทธวจนะอื่น เพื่อส่องความสิกขาบท
และวิภังค์นั้น และเมื่อปฏิบัติสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติ บำเพ็ญข้อปฏิบัติ
ย่อมบรรลุโลกุตรธรรมพี่พึงบรรลุด้วยข้อปฏิบัติ ฉะนั้น พระสัทธรรมจึง

ดำรงอยู่ยั่งยืนเพราะการบัญญัติสิกขาบท ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า สทฺธมฺมฏฺฐิติยา เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม.
บทว่า วินยานุคฺคหาย ความว่า เมื่อมีการบัญญัติสิกขาบท ก็เป็น
อันอนุเคราะห์อุปถัมภ์ค้ำชูวินัย แม้ทั้ง 4 อย่าง คือ สังวรวินัย ปหานวินัย
สมถวินัย บัญญัติวินัย เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า วินยา-
นุคฺคหาย
เพื่ออนุเคราะห์พระวินัย.
จบอรรถกถาปฐมอุปาลิสูตรที่ 1

2. ทุติยอุปาลิสูตร


ว่าด้วยการหยุดสวดปาติโมกข์ 10 ประการ


อุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การหยุดสวดปาติโมกข์มีกี่ประการ
พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนอุบาลี การหยุดสวดปาติโมกข์มี 10 ประการ 10 ประการ
เป็นไฉน คือ ภิกษุผู้ต้องปาราชิกนั่งอยู่ในบริษัทนั้น 1 กถาปรารภ
ปาราชิก เป็นเรื่องยังทำค้างอยู่ 1 อนุปสัมบันนั่งอยู่ในบริษัทนั้น 1
กถาปรารภอนุปสัมบัน เป็นเรื่องยังทำค้างอยู่ 1 ผู้บอกลาสิกขานั่งอยู่
ในบริษัทนั้น 1 กถาปรารภผู้บอกลาสิกขา เป็นเรื่องยังทำค้างอยู่ 1
บัณเฑาะก์นั่งอยู่ในบริษัทนั้น 1 กถาปรารภบัณเฑาะก์ เป็นเรื่องยังทำค้าง
อยู่ 1 ผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณีนั่งอยู่ในบริษัทนั้น 1 กถาปรารภผู้ประทุษ-
ร้ายภิกษุณี เป็นเรื่องยังทำค้างอยู่ 1 ดูก่อนอุบาลี การหยุดสวดปาติโมกข์
มี 10 ประการนี้แล.
จบทุติยอุปาลิสูตรที่ 2